วันอังคารที่ 5 มีนาคม พ.ศ. 2556

คลอโรฟิลล์ คืออะไร



คลอโรฟิลล์ คืออะไร โดย เภสัชกร อุทัย สุขวิวัฒน์ศิริกุล


ล้างสารพิษ หน้าใส ผิวผ่อง ลมหายใจหอมสดชื่น” คือภาพฝันคุณที่คุณๆได้รับเชิญชวน (อีกแล้ว)จากกองทัพอาหารเสริมคลอโรฟิลล์ Chlorophyll ที่ แวะเวียนมาเคาะประตูบ้านคุณ ก็ไม่ว่าอะไรหรอกครับเพราะใครๆก็อยากสวยอยากปลอดจากสารพิษเหมือนต้นไม้ที่มี สีเขียวคลอโรฟิลล์คอยปกป้องอยู่บ้าง เราเลยต้องมาเล่าความจริงทางเภสัชวิทยาให้คุณได้รู้จริงว่ามันจะได้ผลจริง ไหม

คลอโรฟิลล์คืออะไร

ถ้าคุณเอาใบไม้มาตำๆแล้วคั้นน้ำออกมาไปตรวจในห้องทดลอง คุณจะพบสารมีสีที่ชื่อว่า
คลอโรฟิลล์ เป็นชื่อของกลุ่มของสารที่มีสีในตัวที่พบได้ในพืชทั่วๆไป การที่มันมีสีในตัวเอง
จึงมีหน้าที่ดักจับพลังงานแสงที่สาดส่องมาเพื่อใช้ใน ขบวนการสังเคราะห์แสงซึ่งเกิดขึ้นในในชั้น 
Chloroplasts ของ ใบพืช สารนี้ไม่จำเป็นต้องมีสีเขียวแต่เพียงอย่างเดียว เนื่องจากเราจะ
พบมันได้ในพืชระดับชั้นต่ำเช่นในสาหร่ายแต่จะมีสีแตกต่างกันไป ที่เรียกว่าพืชชันต่ำก็เพราะว่ามันเป็นพืชที่มีองคาพยพแค่ใบ ในขณะที่พืชชั้นสูงจะมีวิวัฒนาการโดยใบจะมีการกลายไปเป็นดอก
หรือ ผล เพื่อทำหน้าที่เฉพาะได้ดียิ่งขึ้น
ดังนั้นเราจึงสามารถแบ่งออกเจ้าสารมีสีนี้ออกเป็น 4 กลุ่มได้แก่

1.    คลอโรฟิลล์ มีสีเขียวแกมน้ำเงิน พบในพืชชั้นสูงทุกชนิดที่สังเคราะห์แสงได้

2.    คลอโรฟิลล์ มีสีเขียวแกมเหลือง พบในพืชชั้นสูงทุกชนิดและสาหร่ายสีเขียว

3.    คลอโรฟิลล์ พบในสาหร่ายสีน้ำตาลและสาหร่ายสีทอง แต่ไม่พบในพืชชั้นสูง

4.    คลอโรฟิลล์ พบในสาหร่ายสีแดง แต่ไม่พบในพืชชั้นสูง

หน้าที่ของคลอโรฟิลล์คือต้านอนุมูลอิสระ

จาก การวิจัยเราพบว่าสารนี้มีฤทธิ์ต้านทานสารก่อกลายพันธุ์ที่ยังไม่ทราบกลไก อย่างแจ้งชัด
อาจเป็นผลมาจากตัวมันเองทำหน้าที่เป็นตัวกำจัดอนุมูลอิสระ การทำงานของสารนี้ในชั้น 
Chloroplasts นั้นโมเลกุลของคลอโรฟิลล์จะทำงานได้เมื่อมันอยู่ในสภาพไม่ละลายในน้ำเท่านั้น

ทำไมจึงนำเอาคลอโรฟิลล์มาใช้

ก็ มีบุคคลากรทางสาธารณสุขบางท่านก็อนุมานว่าคลอโรฟิลล์สามารถทำหน้าที่ในการ ต้านอนุมูลอิสระได้ดังกล่าว จึงมีแนวคิดในการนำสารนี้มาเป็นสารอาหารเพื่อวางจำหน่าย โดยในหลากหลายผลิตภัณท์เสริมอาหารที่นำมาวางขายกันอยู่ จะเป็นคลอโรฟิลล์ที่ผ่านการสังเคราะห์มาแล้ว
ให้มีโครงสร้างคล้ายๆกับคลอโรฟิลล์ในธรรมชาติและละลายในน้ำได้ดี วัตถุประสงค์จริงๆของสารนี้ในตอนต้นก็เพื่อนำมาเป็นสีเขียวในสีผสมอาหารและ เครื่องดื่มเท่านั้น ขอย้ำว่าคลอโรฟิลล์ที่ทำหน้าที่ต้านอนุมูลอิสระได้ในชั้นของใบพืชนั้น เมื่อมันอยู่ในสภาพไม่ละลายในน้ำเท่านั้น

แหล่งของคลอโรฟิลล์ในธรรมชาติ

พบมากในผลไม้ ผักที่มีสีเขียว ถ้าคุณชอบกินผัก ผลไม้สดเป็นประจำอยู่แล้วคุณก็ได้รับคลอโรฟิลล์จากธรรมชาติที่ดีที่สุดอยู่แล้ว


อันตรายของคลอโรฟิลล์ที่มากเกินไป

อย.สหรัฐได้กำหนดความปลอดภัยในการนำสารนี้มาเป็นสีผสมอาหารในผู้ใหญ่ไม่ควรเกินวันละ300 มิลลิกรัมต่อวัน และในเด็กไม่ควรเกิน 90 มิลลิกรัม ต่อวัน ก่อนกินสารนี้คุณควรตรวจว่าคุณมีอาการแพ้หรือไม่ เพราะจะทำให้เกิดอาการผื่นแพ้ เวียนศีรษะ เหงื่อออกมากจนหมดสติไปได้ในที่สุด หากคุณกินมากเกินไป จะมีผลทำให้อึหรือฉี่ออกมาเป็นสีเขียวได้ ถ้าเป็นมากๆอาจทำให้ท้องเสียได้


แหล่งข้อมูล

·         Rudolph C. The therapeutic value of chlorophyll. Clin Med Surg 1930:37;119-21.

·         Chernomorsky SA, Segelman AB. Biological activities of chlorophyll derivatives. N J Med 1988:85;669-73.

·         Gruskin B. Chlorophyll-its therapeutic place in acute and suppurative disease. Am J Surg 1940:49;49-56.

·         Hayatsu H, Negishi T, Arimoto S, et al. Porphyrins as potential inhibitors against exposure to carcinogens and mutagens. Mutat Res 1993:290;79-85.

·         Drugs.com, “Chlorophyll” http://www.drugs.com/enc/chlorophyll.html

·         เอกราช เกตวัลห์ สถาบันวิจัยโภชนาการ ม.มหิดล, “คลอโรฟิลล์ หลายคำถามที่คุณอยากรู้”, Herb for Health ฉบับที่ มีนาคม 2552

·         วรานุรินทร์ ยิสารคุณ ภาควิชาวิทยาศาสตร์การแพทย์ น้ำคลอโรฟิลล์” สำนักบริการวิชาการ มหาวิทยาลัยบูรพา
cradit http://www.oknation.net/blog/DIVING/2009/03/28/entry-2
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
คลอโรฟิลล์ที่ทางการแพทย์ยอมรับคือ :
  • คลอโรฟิลล์ที่ทางการแพทย์ยอมรับคือ คลอโรฟิลล์บริสุทธิ์ ต้อง มีสารคลอโรฟิลล์อย่างน้อย 95 % นักวิทยาศาสตร์ได้ทำการทดลองจนในที่สุดพบว่า มันคือ คลอโรฟิลล์ชนิดที่ละลายในน้ำ (Water Soluble Chlorophyll) ซึ่งคลอโรฟิลล์โดยตัวของมันเอง.... ไม่ละลายในน้ำ
  • ด้วยกระบวนการเทคนิคพิเศษอย่างน้อย 15 ขั้นตอนนี้ สามารถทำให้คลอโรฟิลล์ละลาย ในน้ำได้ ทางการแพทย์ได้ทำการวิจัยคลอโรฟิลล์ชนิดที่ละลายในน้ำกันอย่างกว้างขวางและ มากมายเป็นที่ยอมรับในวงการแพทย์ (Medicinal Use) โดยเฉพาะกลุ่มนักวิจัยส่วนใหญ่ของมหาวิทยาลัยเทมเปิล ประเทศสหรัฐอเมริกา นำทีมโดย นายแพทย์ลอเรนซ์ สมิท ซึ่งเป็นศาสตราจารย์นายแพทย์สาขาพยาธิวิทยา ได้รวบรวมข้อมูลสำคัญของคลอโรฟิลล์ชนิดละลายในน้ำ ดังนี้ :
1.เป็นสารบริสุทธิ์ควรเลือกใช้ทางคลินิก (Water soluble derivatives are purified and much preferable in clinical use )
2. ผลของการใช้นุ่มนวลและไม่มีอาการระคายเคือง (Bland and non-irritating)
3. จากการทดลองในมนุษย์และสัตว์ในวิธีการแพทย์ รวมทั้งการฉีดเข้าใต้ผิวหนังและฉีดเข้าเส้นเลือดดำ ไม่ปรากฎอาการของพิษใดๆ (Total absence of toxic effects)
คลอโรฟิลล์บริสุทธิ์ทางการแพทย์ได้วิจัยสรุปผลดังนี้
  • ดร. เรดพาธและคณะฯ รายงานผลที่น่าพอใจในการใช้คลอโรฟิลล์รักษาผู้ป่วยจากโรคทางเดินหายใจ 1,000 ราย
  • มหาวิทยาลัยโลโยล่า ประเทศสหรัฐอเมริกา กลุ่มทันตแพทย์รักษาผู้ป่วยกว่า 1,700 ราย พบว่าคลอโรฟิลล์สามารถยับยั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรียในช่องปากได้
  • ดร. เคปฮาร์ รายงานผลการใช้คลอโรฟิลล์รักษาผู้ป่วยเป็นโรคโลหิตจาง พบว่าได้ผลดีในผู้ป่วยที่ไม่ขาดธาตุเหล็กและธาตุทองแดง
  • ทันตแพทย์โกลด์เบิร์ก ใช้คลอโรฟิลล์รักษาผู้ปวย 300 ราย ที่เหงือกเป็นหนองเลือดออกตามไรฟันและฟันโยก ปรากฎว่าได้ผลดีมาก
  • ในโรงพยาบาลทหาร ดร. โบเวอร์ส ใช้คลอโรฟิลล์ทาแผล ปรากฎว่ากลิ่นเหม็นเน่าของแผลลดลง และอาการอักเสบดีขึ้นจนกระทั่งหายไป
  • ดร. มอร์แดน ใช้ขี้ผึ้งคลอโรฟิลล์รักษาแผลไฟไหม้ได้ผลดี
  • ดร. ฟอลล็อค ได้เปรียบเทียบในการรักษาแผลกดทับ (Bedsore) ด้วยยาหลายชนิดพบว่าคลอโรฟิลล์ได้ผลดีที่สุด
  • ดร. เบอร์กี้ รายงานว่าคลอโรฟิลล์ช่วยรักษาโรคโลหิตจางได้หลายชนิด ทำให้หัวใจทำงานมีประสิทธิภาพดีขึ้น ช่วยลดความดันสูง และกระตุ้นทางเดินอาหารให้ทำงานดีขึ้น
  • ดร. แครนซ์ วิจัยพบว่าคลอโรฟิลล์บรรเทา อาการของโรคกระเพาะอาหารอักเสบได้ดี และจากรายงานของ ดร. ซามูแอล ในคนไข้ที่เลือดออกในกระเพาะอาหาร 36 ราย ปรากฎว่าทุกรายมีอาการดีขึ้นและหายภายใน 12-22 วัน
  • ค.ศ. 1980 มีรายงานในผู้ป่วยด้วยโรคตับอักเสบเรื้อรังจำนวน 34 ราย โดยการฉีดคลอโรฟิลล์เข้าเส้นเลือดปรากฎว่าได้ผลดี 23 ราย
  • ดร. โยชิดาและคณะ ฯ พบว่าคลอโรฟิลล์บรรเทาอาการของโรคตับอ่อนอักเสบ และมีรายงานวิจัยอีกหลายคณะในประเทศญี่ปุ่น ในการใช้คลอโรฟิลล์รักษาโรคตับอ่อนอักเสบ
  • ดร. เบอร์กี้ พิมพ์หนังสือชื่อ “Chlorophyll as pharmaceutical” กล่าวถึง การใช้คลอโรฟิลล์ได้ผลดีในผู้ป่วย 112 ราย ที่ป่วยด้วยโรคความดันสูง และหลอดเลือดแข็งตัว
  • ดร. แอนเจโล ศึกษาในคนไข้ 50 ราย ที่ป่วยด้วยโรคความดันสูง พบว่าคลอโรฟิลล์ช่วยลดความดันได้ดี และอาการทั่วไปดีขึ้น
  • มีรายงานการวิจัยอีกมากมายที่ใช้คลอโรฟิลล์บริสุทธิ์ในการรักษาโรคลำไส้อักเสบและอื่นๆ
  • จาก การทำวิจัยขององค์การอาหารและยาสหรัฐ กับผู้ป่วยแผลเปิดจำนวน 3,600 ราย พบว่าคลอโรฟิลล์ช่วยกระตุ้นให้มีการสร้างเซลล์ใหม่ให้เร็วขึ้น ทำให้แผลหายเร็วกว่าปกติ 25 %ขึ้นไป และรอยแผลเป็นลดลงกว่า 50 % หรือมากกว่า จากกรณีนี้จึงมีการวิจัยต่อเกี่ยวกับการรักษาอาการเจ็บป่วยภายในร่างกายอัน เป็นสาเหตุของการเกิดกลิ่นอันไม่พึงประสงค์ขึ้น พบว่าผู้ป่วยทั้ง 1227 ราย กลิ่นภายในหายหมดหลังจากใช้คลอโรฟิลล์ผ่านไป 2 สัปดาห์ จึงให้การยอมรับว่าเป็นยาดับกลิ่นภายใน สามารถซื้อขายได้ตามร้านขายยาทั่วไป ตั้งแต่วันที่ 11 พฤษภาคม 1990 ตามเอกสารทะเบียนยาที่ 21 CFR Part 357 Deodorant Drug Products for Internal Use for Over-the Counter Human Use : Final Monograph; Final Rule.
  • ตลอดจนการใช้คลอโรฟิลล์ รักษาสุนัขที่ป่วยโรคผิวหนัง และกลิ่นตัวแรง นับเป็นจำนวนกว่าหมื่นตัว
·  ในอดีตทางการแพทย์ได้ใช้คลอโรฟิลล์ชนิด ที่ละลายในน้ำ (Water Soluble Chlorophyll ) รักษาผู้ป่วย แต่การใช้ไม่เป็นที่แพร่หลายมากนัก เพราะต้นทุนการผลิตยังมีราคาแพงมาก แต่ในปัจจุบันคลอโรฟิลล์บริสุทธิ์มีราคาถูกลง และใช้กันทั่วไปในกลุ่มแพทย์ธรรมชาติบำบัด
http://alfalfa.igetweb.com/index.php?mo=3&art=555817





 น้ำคลอโรฟิลล์
     หลายคนนิยมดื่มน้ำคลอโรฟิลล์ ตาม กระแสคนรักสุขภาพ บ้างก็เชื่อว่า ดีต่อสุขภาพมากมายมหาศาล ไม่ว่าจะช่วยล้างพิษ สร้างพลังงานให้กับร่างกาย ป้องกันและรักษาโรคบางโรค บ้างก็บอกว่าเป็นน้ำอายุวัฒนะ
  
     ยิ่งในปัจจุบัน พบว่ามีการโฆษณาขายน้ำคลอ โรฟิลล์กันเต็มไปหมดโดยเฉพาะทางอินเทอร์เน็ต ด้วยเหตุนี้ผู้เขียนจึงมาคุยกับ นพ.กฤษดา ศิรามพุช ผอ.สถาบันเวชศาสตร์อายุรวัฒน์นานาชาติ เพื่อไขข้อกระจ่างในเรื่องนี้ให้ผู้อ่านได้รับทราบกัน
  
      นพ.กฤษดา กล่าวว่า คลอโรฟิลล์ เปรียบเสมือนเป็นเลือดของพืช ประกอบด้วยแมกนีเซียม มีคุณสมบัติช่วยเติมกระดูก เกลือแร่ได้ ที่สำคัญจะมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ เหมือนกับพืชที่  จะใช้คลอโรฟิลล์ต้านอนุมูลอิสระจาก  แสงแดด ยกตัวอย่างต้นกล้วยที่ต้นยืนอยู่ท่ามกลางแสงแดดนาน ๆ แต่มันไม่เหี่ยวไม่ตายก็เพราะว่า มันมีคลอ โรฟิลล์ นอกจากจะทำหน้าที่สังเคราะห์แสงแล้ว มันจะเป็น เหมือนด่านที่กันแดดเอาไว้ ไม่ให้แดดมาเผาใบทำให้เกิดอนุมูลอิสระ
  
      ส่วนใหญ่คลอโรฟิลล์ที่นำมาทำเป็นน้ำคลอโรฟิลล์ให้เราดื่ม มักจะสกัดจากพืชที่มีคลอโรฟิลล์สูง เช่น สกัดจากต้นหญ้าอัลฟัลฟ่า ซึ่งมีอยู่ตามทุ่งราบอเมริกา ที่พบว่ามีคลอโรฟิลล์สูง จึงนิยมนำมาให้สัตว์กิน แต่เนื่องจากมีกากเยอะ คนกินไม่ได้ จึงได้นำมาสกัดเอาเฉพาะคลอโรฟิลล์
  
      สำหรับน้ำคลอโรฟิลล์ที่จำหน่ายในบ้านเรา มีทั้งที่สกัดจากหญ้าอัลฟัลฟ่า และพืชผักอื่น ๆ ส่วนใหญ่ที่เห็นเป็นสีเขียวจาง ๆ ไม่เข้มข้นมาก ก็เพราะมีการนำมาเจือจางกับน้ำ ดังนั้นจึงไม่เข้มข้นเหมือนกับที่เรากินจากพืชผักสด  ๆ
  
      ถามว่าควรจะดื่มน้ำคลอโรฟิลล์หรือไม่ นพ.กฤษ ดา ตอบว่า ก็ต้องบอกว่า เป็นทางเลือกหนึ่ง  ถ้ามีสตางค์กินได้ ไม่เสียหายอะไร แต่ถ้าเป็นผมจะกินจากผักสดดีกว่าเพราะได้กากใยจากผักด้วย
  
       ความจริงแล้วในชีวิตประจำวันของคนเรา สามารถเลือกกินคลอโรฟิลล์ได้จากพืชใบเขียวต่าง ๆ เพราะคลอโรฟิลล์ส่วนใหญ่จะอยู่ที่ใบของพืชผัก สังเกตได้ง่าย ๆ ตรงไหนมีคลอโรฟิลล์เยอะ ก็คือตรงที่พืชใช้สังเคราะห์แสงนั่นเอง
  
      พืชผักใบเขียวหลายชนิดที่มีคลอโรฟิลล์ เช่น คะน้า ตะไคร้ ใบเตย สะระแหน่ ขึ้นฉ่าย ผักโขม ปวยเล้ง ใบแมงลัก สาหร่ายทะเล ถ้าไม่อยากเสียสตังค์กินสด ๆ ได้ หรืออาจจะนำมาปั่นแล้วกรองเอาแต่น้ำก็ได้ ก็จะทำให้ได้น้ำคลอโรฟิลล์ที่เข้มข้นมากขึ้น หรือจะต้มน้ำใบเตย น้ำตะไคร้ก็ได้ หรือบางคนอาจจะนำมาใส่ในอาหาร เช่น ต้มเปรอะจะใส่ใบย่านางหรือใบแมงลัก เป็นต้น อย่างไรก็ตามคงต้องบอกว่า คลอโรฟิลล์ ไม่ควรนำไปอุ่นหรือโดนความร้อนจัดจนเกินไป เพราะทำให้เสื่อมสลายไปได้
  
     โดยหลักแล้วควรจะกินหรือไม่ ? นพ.กฤษดา กล่าวว่า อย่างที่บอกถ้ามีสตางค์กินได้ก็ดี ดีกว่าน้ำเปล่า แต่ข้อควรระวังคือ ในคนที่มีเกลือแร่ในเลือดไม่ค่อยสมดุล อย่างคนที่เป็นโรคไต อาจจะขับเกลือแร่ไม่ได้ ดังนั้นต้องพึงระวังว่า อาจจะได้รับเกลือแร่เกินจากคลอโรฟิลล์ หรือในคนที่เป็นโรคหัวใจก็ต้องระวังเช่นกัน เพราะแมกนีเซียมถ้ามีเยอะเกินไปอาจจะมีผลต่อการบีบตัวของกล้ามเนื้อและการ เต้นของหัวใจได้
   
      นพ.กฤษดา บอกว่า ที่มีการโฆษณากันและไม่เป็นไปตามนั้น ก็คือ กรณีที่บอกว่าคลอโรฟิลล์ช่วยสร้างพลังงานให้กับร่างกายนั้น ความจริงคือเมื่อเรากินเข้าไปคลอโรฟิลล์จะไม่ได้ช่วยสังเคราะห์แสงเหมือนใน พืช ตรงนี้หลายคนมักจะเข้าใจผิดกัน และอีกเหตุผลหนึ่งที่คนหันมาดื่มน้ำคลอโรฟิลล์กันมาก แทนที่จะกินจากผักสด ก็คงเพราะกลัวเรื่องสารพิษ หรือยาฆ่าแมลงในผัก ก็เลยเลือกคลอโรฟิลล์ที่สกัดแล้ว
  
     ท้ายนี้คงขึ้นอยู่กับท่านผู้อ่านแล้วละว่า หลังจากที่ นพ.กฤษดา ให้ข้อมูลแล้วจะดื่มน้ำคลอโรฟิลล์ต่อหรือไม่ เพราะอย่างที่บอก คลอโรฟิลล์ก็มีประโยชน์ แต่สามารถหากินได้ง่ายจากพืชผักใบ เขียวต่าง ๆ ถ้าใครกระเป๋าหนักจะหามาดื่มก็ไม่ว่ากัน.
นวพรรษ บุญชาญ : สัมภาษณ์
 
จาก เดลินิวส์ ออนไลน์ 18 เมย.53
+++++++++++++++++++++++++
1. คลอโรฟิลล์ ช่วยทำให้สดชื่น หายเหนื่อยจากการอ่อนเพลีย
2. คลอโรฟิลล์ ช่วยลดความดันโลหิต ลดปัญหาเส้นเลือดหัวใจตีบ หัวใจโต
3. คลอโรฟิลล์ ช่วยปรับระดับน้ำตาลสำหรับผู้ป่วยที่เป็นโรคเบาหวาน
4. คลอโรฟิลล์ ช่วยทำให้อาการของคนที่เป็นโรคภูมิแพ้ แพ้อากาศ ผื่นลมพิษ ทุเลาลง
5. คลอโรฟิลล์ ช่วยขับกรดจากข้อต่อต่างๆ ทำให้อาการปวดข้อ ปวดเมื่อยตามตัวทุเลาลง และดีขึ้นตามลำดับ
6. คลอโรฟิลล์ ช่วยขับสารพิษออกจากร่างกาย สารตกค้างของยาปฏิชีวนะ สารเคมีตกค้างในอาหาร ทำให้ร่างกายมีภูมิต้านทานดี สุขภาพแข็งแรง สดชื่นขึ้น

7. คลอโรฟิลล์ ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพเม็ดเลือดแดงและเซลล์เม็ดเลือดแดงทำให้ระบบ เลือดไหลเวียนดีขึ้น
8. คลอโรฟิลล์ ช่วยป้องกันการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็ง
9. คลอโรฟิลล์ ช่วยแก้ปัญหาท้องผูก การขับถ่ายจะดีขึ้น ริดสีดวงทวารทุเลาและหายได้
10. คลอโรฟิลล์ ช่วยดับกลิ่นตัว กลิ่นปาก กลิ่นเท้า กลิ่นภายใน
11. คลอโรฟิลล์ ช่วยบรรเทาอาการชา บวม และเส้นเลือดขอดให้ทุเลาและดีขึ้นได้
12. คลอโรฟิลล์ ช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรีย
13. คลอโรฟิลล์ ใช้ทาแผลอักเสบ,แผลเปื่อย,แผลเรื้อรัง,แผลถลอก,แผลไฟไหม้, เหงือกอักเสบ,แผลในปากซึ่งจะเห็นผลได้ดีกว่าการใช้แอลกลอฮอลล์และยาแดง
14. คลอโรฟิลล์ ช่วยบรรเทาอาการปวดศีรษะทั่วไป และปวดศีรษะไมแกรนได้
15. คลอโรฟิลล์ ช่วยเรื่องโรคกระเพาะและลำไส้อักเสบให้ทุเลาและดีขึ้นได้
16. คลอโรฟิลล์ ช่วยแก้ปัญหาเรื่องสิว,ฝ้า,ปวดประจำเดือน,ประจำเดือนมาไม่ปกติ
17. คลอโรฟิลล์ ช่วยให้ผู้ที่เป็นต้อกระจกมองเห็นดีขึ้น และต้อเนื้อทุเลาลงได้
18. คลอโรฟิลล์ ช่วยขับของเสียออกจากร่างกาย ทำให้อวัยวะที่ทำหน้าที่กำจัดของเสีย ทำงานได้ดีขึ้น
ข้อมูลข้างต้น เรียบเรียงจากหนังสือและข้อเขียนของ ดร.ฮาวเวิร์ด ไปเปอร์ (Dr.Howard Peiper)

วันอังคารที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

เอ็นไซม์ วิตามิน และคลอโรฟิลล์

   

     ต้นหญ้าเขียวๆ ในถาดที่เราเห็น เรียกว่า ต้นกล้าข้าวสาลี เอามาคั้นสด ดื่มเฉพาะน้ำเรียกว่า น้ำคั้นสดจากต้นอ่อนข้าวสาลี (Squeeze Wheatgrass Pure Liquid) ซึ่งก็คือ น้ำคั้นสดจากต้นอ่อนข้าวสาลีที่มีคลอโรฟิลส์นั่นเอง

 
               น้ำคั้นต้นข้าวสาลีอ่อนอุดมด้วยเอ็นไซม์ วิตามิน และคลอโรฟิลล์ มีคุณค่าทางอาหารสูง ไม่มีอันตราย เพราะเป็นของธรรมชาติ   ร่างกายสามารถนำไปใช้ได้ทันที   ต้นข้าวสาลีอ่อน 30 มิลลิลิตร มีคุณค่าเทียบเท่าผักสดทั่วไปน้ำหนัก 1 กิโลกรัม   น้ำคั้นต้นข้าวสาลีอ่อนมีคลอโรฟิลล์มากถึง 70% ซึ่งคลอโรฟิลล์เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่สำคัญ มีโครงสร้างโมเลกุลคล้ายฮีโมโกลบิน จึงมีออกซิเจนมาก ช่วยให้สมองและเนื้อเยื่อของร่างกายมีออกซิเจนเพียงพอ ทำให้สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น  มี superoxide dismutase (SOD) ซึ่งเป็นสารต้านมะเร็งสูง ร่างกายสามารถนำไปใช้ได้ทันที   ทำให้ช่วยป้องกันและต่อต้านโรคมะเร็ง  ลดโคเลสเตอรอล ช่วยในเรื่องระบบการไหลเวียนของโลหิต  ระบบการย่อยอาหาร  ลดความดัน  รวมทั้งช่วยในการขับสารพิษออกจากร่างกาย ได้ด้วย

               น้ำคั้นต้นข้าวสาลีอ่อนมีแร่ธาตุที่มีประโยชน์ไม่ต่ำกว่า 90 ชนิด ตั้งแต่ แคลเซียม แมกนีเซียม โปแตสเซียม เหล็กและโซเดียม  มีกรดอะมิโนไม่ต่ำกว่า 20 ชนิด และมีเอนไซม์ไม่ต่ำกว่า 30 ชนิด  ดังนี้
วิตามิน        :  วิตามินเอ  วิตามินบี  วิตามินซี  วิตามินอี และวิตามินเค
แมกนีเซียม   :  ช่วยกำจัดไขมันส่วนเกิน
กรดอะมิโน   :  เป็นองค์ประกอบหลักของโปรตีน  ช่วยในการซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอและสร้างเซลล์ใหม่ ในน้ำคั้นต้นข้าวสาลีอ่อนพบกรดอะมิโนมากมายดังนี้ Alanine, Arginine, Aspartic acid, Glutamic acid, Glycine, Histidine, Isoleucine, Leucine, Lysine, Phenylalanine, Proline, Serine, Threonine, Tyrosine และ Valine
เอนไซม์      :  เป็นองค์ประกอบหลักของขบวนการทำงานต่างๆของร่างกาย  ในน้ำคั้นต้นข้าวสาลีอ่อนพบเอนไซม์มากมายดังนี้ Superoxide dismutase,  Amylase,  Cytrochrome Oxidase, Lipase, Protease  และ Transhydrogenase 

วันจันทร์ที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

รวม Youtube ทางรายการทีวี

มีรายการทีวีหลายรายการที่ให้ความสนใจในคุณประโยชน์ของ "ต้นอ่อนข้าวสาลี"
รายการ แจ๋ว ช่อง3 http://www.youtube.com/watch?v=MoV5-afRw2Y


รายการ ใครไม่ป่วยยกมือขึ้น ช่องThe Nation http://www.youtube.com/watch?v=3tSY2cscWws



รายการ สโมสรสุขภาพ ช่อง9 http://www.youtube.com/watch?v=EvLk2GHFmVk


ประวัติและผลงานวิจัย

ประวัติและผลงานวิจัย




วีทกราส หรือ ต้นข้าวสาลีอ่อนเป็นพืชที่มีประวัติมาอันยาวนาน นับแต่ยุคอียิปต์โบราณมานานกว่า 3,000 ปีมาแล้ว ได้รับการบันทึกในตำรายาของ กรีก โรมัน และ จีนมาแต่โบราณกาล แต่การศึกษาเกี่ยวกับต้นข้าวสาลีอ่อนอย่างจริงจังได้เริ่มต้นที่ประเทศสหรัฐ อเมริกา คุณประโยชน์อันเร้นลับของต้นข้าวสาลีอ่อนได้ถูกค้นพบโดย ดร. ชารล์ส เอฟ ชเนเบล (Dr. Charles F. Schnabel) นักเคมีเกษตร ชาวอเมริกัน เมื่อประมาณ 80 กว่าปีที่แล้วมา หรือในปี คศ. 1930 ซึ่งได้ทำการทดสอบครั้งแรกโดยตัดต้นข้าวสาลีอ่อนมารักษาแม่ไก่ที่สุขภาพไม่ ดีปางตายจนหายและยังสามารถผลิตไข่ได้ในอัตราที่สูงกว่าแม่ไก่สุขภาพดีทั่ว ไป  จากการค้นพบดังกล่าวเขาได้นำมาประยุกต์เป็นอาหารเสริมสำหรับครอบครัวและ เพื่อนบ้าน โดยการนำต้นข้าวสาลีอ่อนมาอบแห้งและบดเป็นผง เพื่อสะดวกต่อการบริโภค
ในปี 1931 ดร. ชเนเบลได้ทำการทดลองเพิ่มเติมและปรากฏผลดังเดิม แม่ไก่ที่กินต้นข้าวสาลีอ่อนสามารถออกไข่ได้มากกว่าปรกติถึง 2 เท่า

ดร. ชเนเบลจึงได้เริ่มเผยแพร่ข้อมูลดังกล่าว จนกระทั่งมีผู้ประกอบการรายใหญ่ คือ เควกเกอร์ โอ๊ต (Quaker Oats) และ อเมริกัน แดร์รี่ (American Dairies) ได้สนับสนุนการวิจัยหลายล้านดอลล่าร์ เพื่อการศึกษาและพัฒนาสินค้าจากต้นข้าวสาลีอ่อนอย่างจริงจัง ดังนั้นในปี คศ.1940 หรือ 10 ปีต่อมาจึงมีสินค้าที่ผลิตจากต้นข้าวสาลีอ่อนเป็นอาหารเสริมสำหรับคนและ สัตว์วางจำหน่ายในร้านขายยาอย่างแพร่หลายทั่วสหรัฐอเมริกาและแคนาดา

ดร. ชเนเบลเป็นผู้ที่ค้นพบและกล่าวว่า “ต้นข้าวสาลีอ่อนหนัก 15 ปอนด์  มีคุณค่าทางโภชนาการเทียบเท่าพืชทั่วไปที่หนักมากกว่า 350 ปอนด์” หรือ เทียบเท่า 1:23 เท่านั่นเอง
ในปี คศ. 1940 ชารล์ส เคตเตอร์ริ่ง (Charles Kettering) ประธานบอร์ดบริษัท เจนเนอรัล มอเตอร์ ได้บริจาคเงินให้วงการแพทย์เพื่อการศึกษา ค้นคว้าและวิจัยเพิ่มเติมเกี่ยวกับคลอโรฟิลล์ ซึ่งเป็นสารอาหารหลักในต้นข้าวสาลีอ่อน ผลการวิจัยที่ปรากฏในเอกสารทางการแพทย์มากกว่า 40 ฉบับได้สรุปว่าคลอโรฟิลล์เป็นสารที่มีคุณประโยชน์มหาศาลและสามารถรักษาโรค ได้มากมาย คลอโรฟิลล์มีสูตรโครงสร้างทางเคมีคล้ายคลึงกับโครงสร้างของฮีโมโกลบินที่ เป็นส่วนประกอบสำคัญของเม็ดเลือดแดง  สิ่งที่แตกต่างกัน เพียงอย่างเดียวก็คืออะตอมของธาตุที่ประกอบเป็นสารฮีโมโกลบิน นั้นคือธาตุเหล็ก ส่วนในคลอโรฟิลล์นั้นเป็นธาตุแมกนีเซียม ดังนั้นคลอโรฟิลล์ ถูกดูดซึมเข้าไปในเซลล์เม็ดเลือดได้ทันที ช่วยสร้างเม็ดเลือดแดง ฟอกเลือดให้บริสุทธิ์และฟื้นฟูเซลล์ให้กลับสู่สภาพปกติสมบูรณ์ได้อย่างรวด เร็ว

ดร.เบนจามิน เกอร์สกิ้น  แห่งมหาวิทยาลัยเทมเปิ้ล รายงานในวารสารอเมริกัน เจอร์นัล ออฟ เซอเจอรี่ ว่า คลอโรฟิลล์จากต้นข้าวสาลีอ่อนเป็นยาที่ออกฤทธิ์ได้ดี มีคุณสมบัติทางฆ่าเชื้อโรคและมีคุณประโยชน์อื่นๆ อีกมากมายในการรักษาอาการต่างๆ เช่น ระงับกลิ่นตัว ต่อต้านอาการติดเชื้อต่างๆ ที่เกิดจากเชื้อสเตรปโตคอคคัส รักษาแผลรวมทั้งไปสมานแผลให้หายเร็ว และ อ้างถึงแพทย์ผู้เชี่ยวชาญทางหู คอ จมูก 2 คน คือ นพ.เรดพาธ และนพ.เดวีส ได้ใช้คลอโรฟิลล์รักษาโรคหู คอ จมูก โดยเฉพาะอย่างยิ่งมีแผลในเยื่ออ่อน ทั้งแผลตื้นและลึกในผู้ป่วยกว่า 1,200 ราย ซึ่งผลการรักษาเป็นที่น่าพอใจทั้งหมด
ในปี คศ. 1960 ดร.แอน วิกมอร์  เจ้าของโรงเรียนในมลรัฐบอสตัน  สหรัฐอเมริกา ซึ่งเดิมมีพฤติกรรมการบริโภคที่ไม่ถูกต้องเช่นเดียวกับชาวอเมริกันทั่วไปที่ มักจะรับประทานอาหารที่ขาดสมดุล ประกอบด้วยแป้ง ไขมันเกลือ และเนื้อสัตว์เป็นหลัก  เมื่ออายุได้ 50 ปีได้ปวยเป็นโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ขั้นสุดท้าย แพทย์ยืนยันว่าจะมีชีวิตอยู่ได้ไม่เกิน 6 เดือน  แต่ดร.แอนไม่ย่อท้อ ได้คิดค้นทุกวิถีทางเพื่อการอยู่รอด และได้ค้นพบว่าเครื่องดื่มจากต้นข้าวสาลีอ่อนสามารถทำให้อาการอ่อนเพลีย ตกใจง่าย  นอนไม่หลับ รวมถึงอาการมะเร็งลำไส้ใหญ่มีอาการดีขึ้น จนกระทั่งหายไปในระยะเวลา 1 ปี อย่างมหัศจรรย์
ชาวจีนเชื่อว่า สีเขียวของต้นข้าวสาลีอ่อน ซึ่งหมายถึง คลอโรฟิลล์ สามารถฟอกเลือดและเพิ่มพลังชีวิต ต้นข้าวสาลีอ่อนที่ได้รับแสงอาทิตย์เต็มที่จะมีคลอโรฟิลสูงถึง 70%ซึ่งช่วยสร้างเลือด อีกทั้งช่วยขับสารพิษในร่างกาย ซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ กำจัดสารอ๊อกซิแดนซ์ในเลือด ช่วยกระตุ้นขบวนการเผาผลาญอาหาร และระบบเอ็นไซม์ในร่างกาย ช่วยเผาผลาญไขมัน และระบบการย่อยอาหาร ซึ่งทำให้ต่อมไทรอยด์ทำงานเป็นปกติ

นอกจากนี้ต้นข้าวสาลีอ่อนที่ปลูกในพื้น ดินออร์แกนิคในไร่ธรรมชาติ ไม่ใช้สารเคมีในการเพาะปลูก จะสามารถดูดแร่ธาตุที่มีประโยชน์จากดินไว้ถึง 92 ชนิด จากจำนวนแร่ธาตุในดินทั้งหมด102 ชนิด มีทั้งแคลเซียม ฟอสฟอรัส แมกนีเซียม โซเดียม และโปแตสเซียม นอกจากนั้นในต้นข้าวสาลียังอุดมด้วยโปรตีนในปริมาณสูงเพื่อตับอ่อนจะได้นำไป ใช้ในการเปลี่ยนแป้งและน้ำตาลให้กลายเป็นพลังงาน รวมทั้งอุดมไปด้วยวิตามิน เกลือแร่ และกรดอะมิโน  งานวิจัยมากมายระบุว่าในกล้าข้าวสาลีมีเบต้าแคโรทีน สารต้านมะเร็งมากมาย เช่น กรดแอบซิลิค วิตามินบี และวิตามินซีในปริมาณสูง โดยเฉพาะต้นข้าวสาลีอ่อนที่ปลูกในฤดูหนาวถึง 4 เดือน ซึ่งจะสะสมธาตุอาหารเพื่อการอยู่รอดรวมถึงคลอโรฟิลล์ซึ่งเป็นพลังบริสุทธิ์ จากธรรมชาติ จะมีคุณค่าทางโภชนาการสูงสุด ปลอดภัยจากเชื้อราจากการปลูกในระบบโรงเรือน ซึ่งไม่ได้แสงอาทิตย์เต็มที่
ต้นข้าวสาลีอ่อนเป็นพืชที่มีกากใยอาหาร สูง มีความสามารถในการอุ้มน้ำ  ซึ่งจะเพิ่มปริมาณในกระเพาะ  ทำให้อิ่มเร็ว  ช่วยกระตุ้นการเคลื่อนตัวของอุจจาระ  ทำให้ขับถ่ายง่ายขึ้น ในขณะเดียวกันจะช่วยในการขับถ่ายของเสียรวมทั้งสารพิษต่าง ๆ ซึ่งอาจก่อให้เกิดมะเร็งในลำไส้ใหญ่ได้  จึงให้ผลเหมือนยาระบายธรรมชาติช่วยป้องกันโรคท้องผูกและริดสีดวงทวาร

แร่ธาตุที่มีประโยชน์

ต้นอ่อนข้าวสาลีมีแร่ธาตุที่มีประโยชน์ไม่ต่ำกว่า 90 ชนิด ตั้งแต่ แคลเซียม แมกนีเซียม
โปแตสเซียม เหล็กและโซเดียม  มีกรดอะมิโนไม่ต่ำกว่า 20 ชนิด และมีเอนไซม์ไม่ต่ำกว่า
30 ชนิด  ดังนี้

 

วิตามิน         :  วิตามินเอ  วิตามินบี  วิตามินซี  วิตามินอี และวิตามินเค
แมกนีเซียม   :  ช่วยกำจัดไขมันส่วนเกิน

กรดอะมิโน
  :  เป็นองค์ประกอบหลักของโปรตีน  ช่วยในการซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอและสร้างเซลล์ใหม่ ในน้ำคั้นต้นข้าวสาลีอ่อนพบกรดอะมิโนมากมายดังนี้ Alanine, Arginine, Aspartic acid, Glutamic acid, Glycine, Histidine, Isoleucine, Leucine, Lysine, Phenylalanine, Proline, Serine, Threonine, Tyrosine และ Valine

เอนไซม์ 
     :  เป็นองค์ประกอบหลักของขบวนการทำงานต่างๆของร่างกาย  ในน้ำคั้นต้นข้าวสาลีอ่อนพบเอนไซม์มากมายดังนี้ Superoxide dismutase,  Amylase,  Cytrochrome Oxidase, Lipase, Protease  และ Transhydrogenase 




บทความโดย นางสุธีรา มูลศรี นักวิชาการเกษตรชำนาญการพิเศษ ศูนย์วิจัยข้าวสะเมิง

สำนักงานข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล

กนกพร อะทะวงษา
สำนักงานข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล 

 
           
 
          ในช่วงหลายปีมานี้หลายท่านคงคุ้นหูกับน้ำวีทกราส (Wheat grass juice) เครื่องดื่มสีเขียวเข้ม มีขายทั้งแบบคั้นสด ผงสำเร็จรูปชงน้ำดื่ม และแบบสารสกัดบรรจุแคปซูล หรืออัดเม็ดให้เลือกรับประทาน ซึ่งเจ้าน้ำวีทกราสที่กล่าวถึงกันนี้ก็คือ น้ำคั้นจากต้นอ่อนข้าวสาลีนั่นเอง จากการวิเคราะห์ปริมาณสารอาหารในต้นอ่อนข้าวสาลีพบว่า ประกอบด้วยคลอโรฟิลล์ถึงร้อยละ 70 นอกจากนั้นยังพบวิตามินเอ ซีและอี แร่ธาตุต่างๆ เช่น เหล็ก แคลเซียม แมกนีเซียม และกรดอะมิโนกว่า 17 ชนิด1
          

เนื่องจากน้ำคั้นจากต้นอ่อนข้าวสาลี อุดมไปด้วยคลอโรฟิลล์ ซึ่งเป็นสารมีสูตรโครงสร้างใกล้เคียงกับฮีม (heme) สารที่ร่างกายนำไปใช้ในการสร้างฮีโมโกลบินในเม็ดเลือดแดง จนได้ชื่อว่าเป็น “เลือดสีเขียว (Green Blood)”1 มีการศึกษาวิจัยฤทธิ์การเพิ่มจำนวนเม็ดเลือดแดงของต้นอ่อนข้าวสาลีในผู้ป่วย ที่มีภาวะโลหิตจาง พบว่าการรับประทานน้ำคั้นจากต้นอ่อนข้าวสาลี วันละ 30 - 100 มล. หรือรับประทานสารสกัดจากต้นอ่อนข้าวสาลี วันละ 1,000 มก. ติดต่อกันอย่างน้อย 6 เดือนถึง 1 ปี ช่วยเพิ่มปริมาณฮีโมโกลบินในเลือด ลดปริมาณการให้เม็ดเลือดแดงเข้มข้น (Pack red cells) และลดจำนวนครั้งในการถ่ายเลือด (blood transfusion) ได้อย่างมีนัยสำคัญ ทั้งในเด็กที่มีภาวะโรคโลหิตจางธาลัสซีเมีย2 ในผู้ป่วยโรคโลหิตจางธาลัสซีเมียชนิดเบต้า (beta-thalassemia)3 และในผู้ป่วย myelodysplastic syndrome (ผู้ป่วยมีความผิดปกติของไขกระดูก ทำให้จำนวนเม็ดเลือดแดงน้อยกว่าปกติ และอาจก่อให้เกิดมะเร็งเม็ดเลือดขาว)4

          นอกจากนี้น้ำคั้นจากต้นอ่อนข้าวสาลียังป้องกันการเกิดภาวะโลหิตจาง ซึ่งเป็นผลข้างเคียงจากการได้รับเคมีบำบัดได้ดี โดยพบว่าในผู้ป่วยมะเร็งเต้านมที่รับประทานน้ำคั้นจากต้นอ่อนข้าวสาลี วันละ 60 มล. ตลอดระยะเวลาการได้รับเคมีบำบัด ทั้ง 3 รอบ ช่วยป้องการเกิดภาวะโลหิตจาง (anemia) ได้ดี มีผลเพิ่มปริมาณฮีโมโกลบินในเลือดอย่างมีนัยสำคัญ โดยไม่มีผลต่อการตอบสนองการได้รับการรักษาจากเคมีบำบัดของผู้ป่วย5 และ การศึกษาในผู้ป่วยในผู้ป่วยที่เป็นมะเร็งที่อวัยวะต่างๆ ที่ดื่มน้ำคั้นจากต้นอ่อนข้าวสาลีวันละ 30 มล. ติดต่อกัน 6 เดือน พบว่าช่วยเพิ่มปริมาณฮีโมโกลบิน เกล็ดเลือด และเพิ่มภูมิต้านทานได้ดี ทำให้ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น6

 
          การศึกษาฤทธิ์อื่นที่น่าสนใจ เช่น ฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระในอาสาสมัครที่ได้รับสารก่ออนุมูลอิสระ BPA (biphenol-A) ผ่านทางสิ่งแวดล้อม เมื่อให้ดื่มน้ำคั้นจากต้นอ่อนข้าวสาลี วันละ 100 มล. ติดต่อกัน 2 สัปดาห์ พบว่าปริมาณสาร BPA ในปัสสาวะลดลงอย่างมีนัยสำคัญ โดยแนวโน้มการลดลงของ BPA สัมพันธ์กับระยะเวลาที่ดื่มคั้นจากต้นอ่อนข้าวสาลี7 และเมื่อเปรียบเทียบประสิทธิภาพระหว่างต้นอ่อนข้าวสาลีกับสาหร่ายสไปรูริน่า ซึ่งเป็นสาหร่ายที่อุดมไปด้วยคลอโรฟิลล์จากธรรมชาติเช่นเดียวกัน พบว่าการรับประทานแคปซูลต้นอ่อนข้าวสาลี ขนาด 500 มก. วันละ 2 ครั้ง นาน 30 วัน เพิ่มความสามารถในการต้านอนุมูลอิสระ ปริมาณวิตามินซี การทำงานของเอนไซม์ superoxide dismutase และลดปริมาณ malondialdehyde ในเลือดของอาสาสมัครได้ดีกว่าการรับประทานสาหร่ายสไปรูริน่า เมื่อรับประทานในขนาดที่เท่ากัน8

 
          นอกจากนี้ยังพบว่าน้ำคั้นจากต้นอ่อนข้าวสาลีช่วยบรรเทาอาการของโรคลำไส้ อักเสบได้ดี เมื่อให้ผู้ป่วยรับประทานวันละ 100 มล. ติดต่อกัน 1 เดือน ช่วยบรรเทาอาการโดยรวมของโรคให้ดีขึ้น ลดการเคลื่อนไหวของลำไส้และความถี่ของการถ่ายเป็นเลือดอย่างมีนัยสำคัญ9
          จะเห็นได้ว่าน้ำคั้นจากต้นอ่อนข้าวสาลีมีประโยชน์หลากหลาย ทั้งในแง่ของการเพิ่มปริมาณเม็ดเลือดแดงในผุ้ป่วยที่มีภาวะโลหิตจาง ป้องกันการเกิดอันตรายจากอนุมูลอิสระ และรักษาอาการลำไส้อักเสบ โดยไม่พบความเป็นพิษหรืออาการข้างเคียงใดๆ ในขนาดรับประทานวันละ 30-100 มล. หรือแคปซูลขนาด 1,000 มก. ในช่วงระยะเวลา 2 สัปดาห์ - 1 ปี แต่อย่างไรก็ตามควรระมัดระวังการใช้ในเด็กอ่อน หรือสตรีมีครรภ์ เนื่องจากยังไม่มีรายงานด้านความปลอดภัย อีกทั้งน้ำคั้นต้นอ่อนข้าวสาลีจะมีกลิ่นเหม็นเขียวคล้ายหญ้า จึงอาจกระตุ้นให้เกิดการคลื่นไส้อาเจียนในผู้ที่ไม่ชอบกลิ่นดังกล่าวได้


เอกสารอ้างอิง

  1. Padalia S, Drabu S, Raheja I, Gupta A, Dhamija M. Multitude potential of wheatgrass juice (Green Blood): An overview. Chron Young Sci 2010;1(2):23-8.
  2. Singh K, Pannu MS, Singh P, Singh J. Effect of wheat grass tablets on the frequency of blood transfusions in Thalassemia Major. Indian J Pediatr. 2010;77(1):90-1
  3. Marwaha RK, Bansal D, Kaur S, Trehan A. Wheat grass juice reduces transfusion requirement in patients with thalassemia major: A pilot study. Indian Pediatrics 2004; 41:716-20.
  4. Mukhopadhyay S, Basak J, Kar M, Mandal S, Mukhopadhyay A. The Role of Iron Chelation Activity of Wheat Grass Juice in Patients with Myelodysplastic Syndrome. J Clin Oncol 2009;27:15s, (suppl; abstr 7012)
  5. Bar-Sela G, Tsailic M, Fried G, Goldberg H. Wheat Grass Juice may improve Hematological Toxicity Related to Chemotherapy in Breast Cancer Patients: A Pilot Study. Nutr Cancer 2007;58(1):43-8.
  6. Dey S, Sarkar R, Ghosh P, et al. Effect of Wheat grass Juice in supportive care of terminally ill cancer patients- A tertiary cancer centre Experience from India. J of Clin Oncol 2006;18(1):8634
  7. Yi B, Kasai H, Lee HS, Kang Y, Park JY, Yang M. Inhibition by wheat sprout (Triticum aestivum) juice of bisphenol A-induced oxidative stress in young women. Mutat Res. 2011;18(724):64-8.
  8. Shyam R, Singh SN, Vats P, Singh VK, Bajaj R, Singh SB, Banerjee PK. Wheat grass supplementation decreases oxidative stress in healthy subjects: a comparative study with spirulina. J Altern Complement Med. 2007;13(8):789-91.
  9. Ben-Arye E, Goldin E, Wengrower D, Stamper A, Kohn R, Berry E, Wheat Grass Juice in the Treatment of Active Distal Ulcerative Colitis: A Randomized Double-blind Placebo-controlled Trial. Scand J Gastroenterol 2002;37(4):444-9.


ข้อจำกัดด้านลิขสิทธ์บทความ :
บทความในหน้าที่ปรากฎนี้สามารถนำไปทำซ้ำเพื่อเผยแพร่ในเว็บไซต์หรือสิ่ง พิมพ์อื่นๆ
โดยไม่มีวัตถุประสงค์ในเชิงพาณิชย์ได้ ทั้งนี้การนำไปทำซ้ำนั้นยังคงต้องปรากฎชื่อผู้แต่งบทความ และห้ามตัดต่อหรือ เรียบเรียงเนื้อหาในบทความนี้ใหม่โดยเด็ดขาด และกรณีที่ท่านได้นำบทความนี้ไปใช้ในเว็บเพจของท่าน ให้สร้าง Hyperlink เพื่อสร้าง link อ้างอิงบทความนี้มายัง
http://www.pharmacy.mahidol.ac.th/thai/knowledgeinfo.php?id=125 ด้วย

ประโยชน์ของต้นอ่อนข้าวสาลี


คุณประโยชน์ของต้นข้าวสาลีอ่อน (Wheatgrass)
ดร.แอนด์ วิกมอร์ (Dr.Ann Wigmore) เป็นนักธรรมชาติบำบัดในอเมริกาเป็นผู้มีชื่อเสียงที่สุด 

ในการริเริ่มนำต้นข้าวสาลีมาใช้ในการบำบัดโรค และเป็นผู้ก่อตั้งสถาบันสุขภาพ The Hippocrates Health Institute ในปี พ.ศ.2500 หรือประมาณ 50 ปีมาแล้ว

สำหรับในเมืองไทยก็ได้รับความสนใจ ไม่แพ้กันโดยนำต้นข้าวสาลีอ่อนมาคั้นเป็นน้ำผักเพื่อสุขภาพ

ที่ให้คุณประโยชน์อย่างสูงต่อร่างกายของเรา นอกจากต้นข้าวสาลีอ่อนเป็นพืชที่มีคลอโรฟิลล์ถึง70% และน้ำคั้นจากต้นกล้าข้าวสาลีอ่อน สามารถนำมาดื่มเพื่อ Detox ร่างกายโดยไม่มีผลเสียใด ๆแล้ว

คุณสมบัติของต้นข้าวสาลีอ่อนยังมีมากมาย เช่น

ช่วยกระตุ้นการสร้างเซลล์เม็ดเลือดแดง 

ช่วยฟอกเลือดให้สะอาดจะช่วยให้ ระบบเลือดดีขึ้น
ช่วยบรรเทาอาการโรคหัวใจ
ช่วยลดความดันโลหิตสูง เส้นเลือดหัวใจตีบ
ช่วยลดคอเรสตอรอล
ช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดสำหรับผู้ป่วยเบาหวาน
ช่วยลดอาการภูมิแพ้
ช่วยลด สิว และช่วยให้ผิวพรรณสดใส
ช่วยให้ระบบขับถ่ายของร่างกายดีขึ้น
ช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระ
ช่วยป้องกันและยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็ง
ช่วยลดอาการปวดประจำเดือน
ช่วยบรรเทาอาการปวดศีรษะแบบธรรมดา จนถึงปวดแบบไมเกรน
ช่วยบรรเทาอาการโรคกระเพาะ หรือโรคเกี่ยวกับลำใส้
ช่วยทำให้ไม่มีกลิ่นตัว และกลิ่นปาก
ช่วยทำให้แผลหายเร็วขึ้น
ช่วยให้แผลในปาก หรือเหงือกอักเสบหายเร็วขึ้น
ช่วยบรรเทาปวดเมื่อยตามตัวทุเลาลง
ช่วยสร้างระบบภูมิคุ้มกันดีขึ้น
ช่วยให้สุขภาพแข็งแรงชะลอความแก่
ช่วยขจัดสารพิษในเลือด ตับและ ไต
ช่วยล้างสารพิษออกจากร่างกาย
มีสารอาหารบำรุงเส้นผม ช่วยลดอาการผมร่วง
ช่วยทำให้ร่างกายรู้สึกสดชื่น

ต้นอ่อนข้าวสาลี คืออะไร



ต้นอ่อนข้าวสาลี (Wheat grass) คือ ต้นข้าวสาลีนี้เป็นธัญพืชจำพวกข้าวสาลีซึ่งเป็นอาหารที่อุดมไปด้วยคลอโรฟิลล์ วิตามิน เกลือแร่ แร่ธาตุ โปรตีนและกรดอะมิโน ที่ให้พลังงานกับร่างกายมีส่วนช่วยสร้างเม็ดเลือดและบำรุงร่างกายให้สดชื่น รักษาอาการผิดปกติต่างๆและโรคภัยไข้เจ็บที่เกิดแก่ร่างกาย 

มีสารต้านการก่อเซลล์มะเร็ง นอกจากนั้นยังทำให้สุขภาพแข็งแรง เป็นแหล่งสารอาหารที่มีความจำเป็นต่อคนทุกวัยเป็นสารอาหารจากธรรมชาติล้วนๆ 

 

ต้นข้าวสาลีที่เกิดจากการเพาะเมล็ดพันธุ์ข้าวสาลีโดยต้องมีการควบคุมปริมาณน้ำ อุณหภูมิและความชื้นให้เหมาะสม ทำการเก็บเกี่ยวที่อายุประมาณ 6-8 วัน ซึ่งช่วงนี้เองจะเป็นช่วงที่ต้นอ่อนข้าวสาลีมีคุณค่่าทางโภชนาการมากที่สุด
ต้นอ่อนข้าวสาลี มีสารอาหารที่สำคัญต่อร่างกายมากกว่า ๑๐๐ ชนิด โดยเฉพาะมีโปรตีนสูง  ๒๕ %  วิตามินบีรวม วิตามินซี  วิตามินเอ  วิตามินอี และวิตามินเค มีกรดอะมีโนอย่างน้อย ๒๐  ชนิด  เอ็นไซม์ที่มีประโยชน์กว่า  ๓๐  ชนิด สารที่สำคัญที่สุดในต้นอ่อนข้าวสาลีคือ คลอโรฟิลล์ ซึ่งมีโครงสร้างโมเลกุลคล้ายคลึงกับโมเลกุลของอีโมโกลบิน ในเม็ดเลือดแดง ของมนุษย์ ต่างกันที่ตัวกลางของคลอโรฟิลล์คือแมกนีเซี่ยม แต่ในอีโมโกลบินคือเหล็ก จึงได้ชื่อว่า Green Blood หรือ เลือดสีเขียว