วันจันทร์ที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

ประวัติและผลงานวิจัย

ประวัติและผลงานวิจัย




วีทกราส หรือ ต้นข้าวสาลีอ่อนเป็นพืชที่มีประวัติมาอันยาวนาน นับแต่ยุคอียิปต์โบราณมานานกว่า 3,000 ปีมาแล้ว ได้รับการบันทึกในตำรายาของ กรีก โรมัน และ จีนมาแต่โบราณกาล แต่การศึกษาเกี่ยวกับต้นข้าวสาลีอ่อนอย่างจริงจังได้เริ่มต้นที่ประเทศสหรัฐ อเมริกา คุณประโยชน์อันเร้นลับของต้นข้าวสาลีอ่อนได้ถูกค้นพบโดย ดร. ชารล์ส เอฟ ชเนเบล (Dr. Charles F. Schnabel) นักเคมีเกษตร ชาวอเมริกัน เมื่อประมาณ 80 กว่าปีที่แล้วมา หรือในปี คศ. 1930 ซึ่งได้ทำการทดสอบครั้งแรกโดยตัดต้นข้าวสาลีอ่อนมารักษาแม่ไก่ที่สุขภาพไม่ ดีปางตายจนหายและยังสามารถผลิตไข่ได้ในอัตราที่สูงกว่าแม่ไก่สุขภาพดีทั่ว ไป  จากการค้นพบดังกล่าวเขาได้นำมาประยุกต์เป็นอาหารเสริมสำหรับครอบครัวและ เพื่อนบ้าน โดยการนำต้นข้าวสาลีอ่อนมาอบแห้งและบดเป็นผง เพื่อสะดวกต่อการบริโภค
ในปี 1931 ดร. ชเนเบลได้ทำการทดลองเพิ่มเติมและปรากฏผลดังเดิม แม่ไก่ที่กินต้นข้าวสาลีอ่อนสามารถออกไข่ได้มากกว่าปรกติถึง 2 เท่า

ดร. ชเนเบลจึงได้เริ่มเผยแพร่ข้อมูลดังกล่าว จนกระทั่งมีผู้ประกอบการรายใหญ่ คือ เควกเกอร์ โอ๊ต (Quaker Oats) และ อเมริกัน แดร์รี่ (American Dairies) ได้สนับสนุนการวิจัยหลายล้านดอลล่าร์ เพื่อการศึกษาและพัฒนาสินค้าจากต้นข้าวสาลีอ่อนอย่างจริงจัง ดังนั้นในปี คศ.1940 หรือ 10 ปีต่อมาจึงมีสินค้าที่ผลิตจากต้นข้าวสาลีอ่อนเป็นอาหารเสริมสำหรับคนและ สัตว์วางจำหน่ายในร้านขายยาอย่างแพร่หลายทั่วสหรัฐอเมริกาและแคนาดา

ดร. ชเนเบลเป็นผู้ที่ค้นพบและกล่าวว่า “ต้นข้าวสาลีอ่อนหนัก 15 ปอนด์  มีคุณค่าทางโภชนาการเทียบเท่าพืชทั่วไปที่หนักมากกว่า 350 ปอนด์” หรือ เทียบเท่า 1:23 เท่านั่นเอง
ในปี คศ. 1940 ชารล์ส เคตเตอร์ริ่ง (Charles Kettering) ประธานบอร์ดบริษัท เจนเนอรัล มอเตอร์ ได้บริจาคเงินให้วงการแพทย์เพื่อการศึกษา ค้นคว้าและวิจัยเพิ่มเติมเกี่ยวกับคลอโรฟิลล์ ซึ่งเป็นสารอาหารหลักในต้นข้าวสาลีอ่อน ผลการวิจัยที่ปรากฏในเอกสารทางการแพทย์มากกว่า 40 ฉบับได้สรุปว่าคลอโรฟิลล์เป็นสารที่มีคุณประโยชน์มหาศาลและสามารถรักษาโรค ได้มากมาย คลอโรฟิลล์มีสูตรโครงสร้างทางเคมีคล้ายคลึงกับโครงสร้างของฮีโมโกลบินที่ เป็นส่วนประกอบสำคัญของเม็ดเลือดแดง  สิ่งที่แตกต่างกัน เพียงอย่างเดียวก็คืออะตอมของธาตุที่ประกอบเป็นสารฮีโมโกลบิน นั้นคือธาตุเหล็ก ส่วนในคลอโรฟิลล์นั้นเป็นธาตุแมกนีเซียม ดังนั้นคลอโรฟิลล์ ถูกดูดซึมเข้าไปในเซลล์เม็ดเลือดได้ทันที ช่วยสร้างเม็ดเลือดแดง ฟอกเลือดให้บริสุทธิ์และฟื้นฟูเซลล์ให้กลับสู่สภาพปกติสมบูรณ์ได้อย่างรวด เร็ว

ดร.เบนจามิน เกอร์สกิ้น  แห่งมหาวิทยาลัยเทมเปิ้ล รายงานในวารสารอเมริกัน เจอร์นัล ออฟ เซอเจอรี่ ว่า คลอโรฟิลล์จากต้นข้าวสาลีอ่อนเป็นยาที่ออกฤทธิ์ได้ดี มีคุณสมบัติทางฆ่าเชื้อโรคและมีคุณประโยชน์อื่นๆ อีกมากมายในการรักษาอาการต่างๆ เช่น ระงับกลิ่นตัว ต่อต้านอาการติดเชื้อต่างๆ ที่เกิดจากเชื้อสเตรปโตคอคคัส รักษาแผลรวมทั้งไปสมานแผลให้หายเร็ว และ อ้างถึงแพทย์ผู้เชี่ยวชาญทางหู คอ จมูก 2 คน คือ นพ.เรดพาธ และนพ.เดวีส ได้ใช้คลอโรฟิลล์รักษาโรคหู คอ จมูก โดยเฉพาะอย่างยิ่งมีแผลในเยื่ออ่อน ทั้งแผลตื้นและลึกในผู้ป่วยกว่า 1,200 ราย ซึ่งผลการรักษาเป็นที่น่าพอใจทั้งหมด
ในปี คศ. 1960 ดร.แอน วิกมอร์  เจ้าของโรงเรียนในมลรัฐบอสตัน  สหรัฐอเมริกา ซึ่งเดิมมีพฤติกรรมการบริโภคที่ไม่ถูกต้องเช่นเดียวกับชาวอเมริกันทั่วไปที่ มักจะรับประทานอาหารที่ขาดสมดุล ประกอบด้วยแป้ง ไขมันเกลือ และเนื้อสัตว์เป็นหลัก  เมื่ออายุได้ 50 ปีได้ปวยเป็นโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ขั้นสุดท้าย แพทย์ยืนยันว่าจะมีชีวิตอยู่ได้ไม่เกิน 6 เดือน  แต่ดร.แอนไม่ย่อท้อ ได้คิดค้นทุกวิถีทางเพื่อการอยู่รอด และได้ค้นพบว่าเครื่องดื่มจากต้นข้าวสาลีอ่อนสามารถทำให้อาการอ่อนเพลีย ตกใจง่าย  นอนไม่หลับ รวมถึงอาการมะเร็งลำไส้ใหญ่มีอาการดีขึ้น จนกระทั่งหายไปในระยะเวลา 1 ปี อย่างมหัศจรรย์
ชาวจีนเชื่อว่า สีเขียวของต้นข้าวสาลีอ่อน ซึ่งหมายถึง คลอโรฟิลล์ สามารถฟอกเลือดและเพิ่มพลังชีวิต ต้นข้าวสาลีอ่อนที่ได้รับแสงอาทิตย์เต็มที่จะมีคลอโรฟิลสูงถึง 70%ซึ่งช่วยสร้างเลือด อีกทั้งช่วยขับสารพิษในร่างกาย ซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ กำจัดสารอ๊อกซิแดนซ์ในเลือด ช่วยกระตุ้นขบวนการเผาผลาญอาหาร และระบบเอ็นไซม์ในร่างกาย ช่วยเผาผลาญไขมัน และระบบการย่อยอาหาร ซึ่งทำให้ต่อมไทรอยด์ทำงานเป็นปกติ

นอกจากนี้ต้นข้าวสาลีอ่อนที่ปลูกในพื้น ดินออร์แกนิคในไร่ธรรมชาติ ไม่ใช้สารเคมีในการเพาะปลูก จะสามารถดูดแร่ธาตุที่มีประโยชน์จากดินไว้ถึง 92 ชนิด จากจำนวนแร่ธาตุในดินทั้งหมด102 ชนิด มีทั้งแคลเซียม ฟอสฟอรัส แมกนีเซียม โซเดียม และโปแตสเซียม นอกจากนั้นในต้นข้าวสาลียังอุดมด้วยโปรตีนในปริมาณสูงเพื่อตับอ่อนจะได้นำไป ใช้ในการเปลี่ยนแป้งและน้ำตาลให้กลายเป็นพลังงาน รวมทั้งอุดมไปด้วยวิตามิน เกลือแร่ และกรดอะมิโน  งานวิจัยมากมายระบุว่าในกล้าข้าวสาลีมีเบต้าแคโรทีน สารต้านมะเร็งมากมาย เช่น กรดแอบซิลิค วิตามินบี และวิตามินซีในปริมาณสูง โดยเฉพาะต้นข้าวสาลีอ่อนที่ปลูกในฤดูหนาวถึง 4 เดือน ซึ่งจะสะสมธาตุอาหารเพื่อการอยู่รอดรวมถึงคลอโรฟิลล์ซึ่งเป็นพลังบริสุทธิ์ จากธรรมชาติ จะมีคุณค่าทางโภชนาการสูงสุด ปลอดภัยจากเชื้อราจากการปลูกในระบบโรงเรือน ซึ่งไม่ได้แสงอาทิตย์เต็มที่
ต้นข้าวสาลีอ่อนเป็นพืชที่มีกากใยอาหาร สูง มีความสามารถในการอุ้มน้ำ  ซึ่งจะเพิ่มปริมาณในกระเพาะ  ทำให้อิ่มเร็ว  ช่วยกระตุ้นการเคลื่อนตัวของอุจจาระ  ทำให้ขับถ่ายง่ายขึ้น ในขณะเดียวกันจะช่วยในการขับถ่ายของเสียรวมทั้งสารพิษต่าง ๆ ซึ่งอาจก่อให้เกิดมะเร็งในลำไส้ใหญ่ได้  จึงให้ผลเหมือนยาระบายธรรมชาติช่วยป้องกันโรคท้องผูกและริดสีดวงทวาร

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น